คำว่าอ้วนบางครั้งอาจเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งบางคนอาจจะพอใจหรือไม่พอใจในสัดส่วนที่ตัวเองเป็นอยู่
กฎเกณฑ์แบบหยาบๆที่เรามักใช้กันคือ
เกณฑ์ทางการแพทย์
ในปัจจุบันเกณฑ์ที่ยอมรับทางการแพทย์คือ การคำนวณโดยใช้ดัชนีมวลกาย หรือเรียกว่า BMI (Body Mass Index)
BMI = น้ำหนัก(กิโลกรัม) / ส่วนสูง(เมตร) ยกกำลังสอง
เช่น หากเราหนัก 60 กิโลกรัม สูง 165 ซม.
ค่า BMI = 60/(1.65×1.65) = 22.04
ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่า ค่า BMI ควรจะเป็นเท่าไหร่ เนื่องจากร่างกายของคนในแต่ละประเทศแตกต่างกัน แต่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับประเทศไทย ค่า BMI ที่เหมาะสม คือ
น้อยกว่า 18 ผอม
อยู่ในช่วง 18 – 22.9 เหมาะสม
อยู่ในช่วง 23 – 24.9 ถือว่าอ้วน
มากกว่า 25 ถือว่าเป็น “โรคอ้วน”
พิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ไขมัน
เปอร์เซ็นต์ไขมันหมายถึง สัดส่วนของไขมันในร่างกายว่าเรามีกี่เปอร์เซ็นต์ เช่น คนที่หนัก 100 kg. มีไขมัน 35 kg. ก็แปลว่ามีไขมัน 35%
แพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องลดน้ำหนักและเรื่องโภชนาการได้แนะนำว่าเราไม่ควรดูค่า BMI เพียงอย่างเดียวสิ่งที่ควรจะใส่ใจควบคู่ไปด้วยก็คือ เปอร์เซ็นต์ไขมัน
ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องมือที่สามารถวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายได้ราคาไม่สูงมาก
“ลดไขมันไม่ใช่ลดน้ำหนัก”
ปัญหาใหญ่ของคนอ้วนไม่ได้เกิดจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป แต่เกิดจากไขมันที่มากเกินไปต่างหาก ฉะนั้นการลดน้ำหนักที่ถูกต้องเราจึงต้องรถเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายลง
วิธีการลดน้ำหนักที่ผิด มักจะเป็นการลดน้ำหนักที่เราสูญเสียกล้ามเนื้อหรือน้ำในร่างกาย มากกว่าการลดปริมาณไขมันในร่างกาย
คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคต่างๆสูงกว่าคนไม่อ้วนหลายเท่า ยิ่งมีน้ำหนักตัวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นโรคเหล่านี้มากขึ้น เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ความดันโลหิต นิ่วในถุงน้ำดี ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ โรคข้อ โรคเก๊าต์ โรคแทรกซ้อนตอนตั้งครรภ์