เมื่อผ่านพ้นในส่วนของทฤษฎี ตอนนี้มาถึงภาคปฏิบัติว่าเราจะลดน้ำหนักได้อย่างไร ซึ่งการที่แต่ละคนต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป
ลองพิจารณาดูว่าเราอยู่กลุ่มไหน เพื่อที่จะทราบว่าวิธีการลดน้ำหนักที่เหมาะสมกับเราเป็นแบบไหน
“กลุ่มที่ 1
มีงบประมาณน้อย แต่มีความตั้งใจมุ่งมั่นมาก”
วิธีการลดน้ำหนักของ
“กลุ่มที่ 1 “
ยิ่งเรามีเงินมากเราก็จะยิ่งลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น เพราะเราสามารถหาตัวช่วยต่างๆมาช่วยได้ แต่หากเรามีงบน้อยเราก็ต้องชดเชยด้วยความพยายาม ความตั้งใจ ทุ่มเทให้มากเราจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้
ขั้นตอนที่ 1 : ตั้งเป้าหมาย ว่าต้องการจะลดน้ำหนักลงเท่าไหร่
ขั้นตอนที่ 2 : ทานอาหารให้ได้ 3 มื้อพอดี โดยเราต้องทานให้ได้พลังงานประมาณ 1,000 -1,200 kcal/วัน โดยพยายามทานโปรตีนประมาณครึ่งหนึ่งของอาหารที่ทานและทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน
ขั้นตอนที่ 3 : จดว่าทาน และทำกิจกรรมอะไรบ้างในแต่ละวัน ทานอาหารไปทั้งหมดกี่kcal กิจกรรมที่ทำเผาผลาญกี่ kcal
ขั้นตอนที่ 4 : ตรวจสอบระดับการเผาผลาญ โดยให้ดูว่าในช่วง 7 วัน ที่เราบันทึกสิ่งที่เราทาน น้ำหนักเราเพิ่มขึ้น คงที่ หรือลดลง
ขั้นตอนที่ 5 : ลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่เหมาะสม
หลังจากทำตามขั้นตอนที่ 3 และ 4 แล้ว วิเคราะห์ผลที่ได้
- หากน้ำหนักตัวลดลง แสดงว่าร่างกายเราเผาผลาญพลังงานได้ดี มีการที่เหมาะสมก็คือให้เราทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆน้ำหนักจะลดลงเรื่อยๆ
- หากน้ำหนักคงที่ หากเราเป็นแบบนี้แปลว่าร่างกายเราเผาผลาญประมาณ 1,000-1,200 kcal ซึ่งต่ำไป วิธีที่เหมาะสมคือ ทานให้ครบ3 มื้อเหมือนเดิม และต้องทานโปรตีนให้มากขึ้น ซึ่งเมื่อเราทานโปรตีนมากขึ้นแล้วผ่านไปซัก 1 เดือน น้ำหนักยังไม่ลดลง ให้ออกกำลังกายเพิ่มน้ำหนักจึงจะลดลงได้
- หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แสดงว่าร่างกายของเราเผาผลาญต่ำกว่า 1,000-1,200 kcal ซึ่งต่ำเกินไป (คนที่ลดน้ำหนักแบบผิดๆมักจะเป็นแบบนี้) วิธีการที่เหมาะสม คือทานให้ครบ 3 มื้อเหมือนเดิม โดยทานโปรตีนมากขึ้นและต้องออกกำลังกายเพื่อเพิ่มระดับการเผาผลาญ
ขั้นตอนที่ 6 : ตรวจสอบข้อบกพร่อง ตรวจสอบดูเรื่องพฤติกรรมในเรื่องไหนที่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น
ขั้นตอนที่ 7 : ปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากร่างกายเราจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับการเผาผลาญพลังงานอยู่เรื่อยๆ
“กลุ่มที่ 2
มีงบประมาณพอสมควร (ถึงมาก) และมีความตั้งใจพอสมควร (ถึงมาก)”
วิธีการลดน้ำหนักของ
“กลุ่มที่ 2”
ทางเลือกที่ 1 : เลือกทำตาม 7 ขั้นตอนสำหรับการลดน้ำหนักเหมือนเดิม แต่ทานอาหารเสริม (Supplements Food) ตามสิ่งที่เราต้องการเสริมประสิทธิภาพการลดน้ำหนัก หรือปัญหาบางจุดที่เราต้องการอุดช่องโหว่ เช่น หากเราหลีกเลี่ยงของมันไม่ได้ก็ให้ทานอาหารเสริมที่ดักจับไขมัน หากไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็ให้ทานอาหารเสริมที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น เป็นต้น แต่อย่าเข้าใจผิดว่าทานอาหารเสริมแล้วจะช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะน้ำหนักที่ลดลงเกิดจากการควบคุมอาหารให้ได้พลังงานประมาณ 1,000-1,200 kcal/วัน ส่วนอาหารเสริมนั้นเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น
ทางเลือกที่ 2 : คือ ทานอาหารทดแทน (Replacement Food) ซึ่งรูปแบบที่แนะนำก็คือ แบบที่เราสามารถทานแทนอาหารได้ เพราะจะช่วยให้เราประหยัดค่าอาหาร และเราสามารถเลือกทานในราคาที่ใกล้เคียงกับอาหารที่เราทานได้
การเลือกลดน้ำหนักโดยการทานอาหารทดแทนนั้น จะช่วยให้เราสามารถควบคุมปริมาณพลังงานจากอาหารที่ทานได้ง่ายขึ้น และอาหารทดแทนที่ดีจะมีสารอาหารที่ครบถ้วนเราจึงไม่ต้องห่วงเรื่องขาดสารอาหารอีกด้วย
*** ฉะนั้นหากเราพอมีงบประมาณ การทานอาหารทดแทนจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ
“กลุ่มที่ 3
มีความตั้งใจน้อย”
วิธีการลดน้ำหนักของ
“กลุ่มที่ 3“
สำหรับคนที่มีความตั้งใจน้อยต้องขอบอกตรงตรงว่าไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงินก็ไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้อย่างถาวร เหตุเพราะคนที่มีความตั้งใจน้อยให้ควบคุมอาหารก็ทำไม่ได้ ให้ออกกำลังกายพักเดียวก็เลิก ทานอาหารทดแทนก็เบื่อที่ต้องทานซ้ำๆ
ทางเลือกที่ 1 : โดยที่บางคนจึงหันไปพึ่งยาลดน้ำหนักซึ่งอันตรายมากๆและทำให้เกิดการโยโย่ขึ้นมาด้วย จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาลดน้ำหนักอย่างเด็ดขาด
ทางเลือกที่ 2 : ส่วนบางคนที่พอมีงบประมาณที่สูง จึงหันไปพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น ดูดไขมัน ตัดไขมัน เย็บกระเพาะ วิธีการเหล่านี้สามารถบรรเทาปัญหาความอ้วนที่มีเฉพาะหน้าได้ แต่ถ้ายังมีพฤติกรรมเหมือนเดิม สุดท้ายไขมันก็กลับมาอ้วนอีกอยู่ดี